7 ความเชื่อผิดๆว่าระบบหลังบ้าน

7 ความเชื่อผิดๆว่าระบบหลังบ้านที่ดีไม่จำเป็น

7 ความเชื่อผิดๆว่าระบบหลังบ้านที่ดีไม่จำเป็น



“ระบบหลังบ้าน” ที่ดีนั้น จะช่วยให้ การบริหารตั้งแต่การจัดหาพนักงาน จนถึง ส่งสินค้าไปถึงมือลูกค้า
นั้นมีต้นทุนลดลง และ มีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้นนั่นเอง ส่งผลต่อธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

เป้าหมายของการมี”ระบบหลังบ้าน”เหล่านี้ก็เพื่อ รวบรวมข้อมูล ทั้งผู้ซื้อ ผู้ขายรายย่อย ผู้ผลิต และอื่นๆ ไว้ในที่เดียว
เพื่อลดความซับซ้อนในการจัดการ เพิ่มความเร็วในการตัดสินใจ และทำให้คนทั้งองค์กรนั้นสามารถทำงานได้ง่ายขึ้น
รวมถึงใช้เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่จะเอามาวิเคราะห์สำหรับการวางแผนการเติบโตในอนาคตอีกด้วย

1. การลงทุนในระบบหลังบ้านนั้น”แพง”
การลงทุนในการบริหารสินค้าคงคลัง วัตถุดิบ หรือ การวางแผนการผลิตนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องมีราคาสูงเสมอไป
ราคาของ “ระบบหลังบ้าน” นั้นขึ้นอยู่กับขนาดของธุรกิจ และ ความจำเป็นในช่วงเวลานั้นๆ โดย SME หลายๆที่ไม่จำเป็นต้องลงทุนในทุกส่วนตั้งแต่เริ่มต้น
ถ้าหาก ธุรกิจของคุณ อยู่ในรูปแบบซื้อมาขายไป ระบบแรกที่ควรมีและคำนึงถึง คือ ระบบจัดการสต็อคสินค้า ที่เชื่อมโดยตรงกับ ช่องทางการขายต่างๆที่มีนั้น
ซึ่ง ณ ปัจจุบันมีให้เลือกมากมายในท้องตลาด


ผลตอบแทนจากการลงทุนในระบบหลังบ้านนั้น จะช่วยทำให้คุณตัดสินใจในเรื่องการสั่งซื้อ หรือ มีข้อมูลที่ทำให้คาดการณ์ยอดขายได้อย่างเเม่นยำ
เราสามารถพูดได้ว่าการลงทุนในระบบนั้นจะช่วยให้ SME นั้นสามารถเก็บเงินได้ มีกำไรมากขึ้นด้วย ดังนั้นแทนที่จะให้ความสนใจแต่เพียงแค่ราคาของระบบหลังบ้าน
ควรจะให้ความสนใจในการวัดผลความสามารถที่ระบบจะให้กลับมาได้ด้วย


2. ระบบบริหารห่วงโซ่อุปทานนั้น”ใช้งานยาก”
แน่นอนระบบหลังบ้าน อาจจะใช้ยากสักนิดในช่วงวางแผนและติดตั้ง แต่หากเราใส่ใจในการออกแบบระบบ และ วิธีการทำงานในช่วงแรก
จะส่งผลให้ระบบการทำงานของSME ในภาพรวมดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัญหาของความยุ่งยากจริงๆแล้วนั้นเกิดจาก การที่พยายามรวมข้อมูล
การทำงานจากหลายแผนกเข้าด้วยกันใน excel 1 ไฟล์ เพื่อตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง แต่ถ้าหากเรามี ระบบบริหารที่ดีนั้นจะช่วยการันตีความถูกต้องของข้อมูล
ลดความยุ่งยากในการทำงาน และทำให้การทำงานเป็นอัตโนมัติมากยิ่งขึ้น (process automation)  ส่งผลให้SME สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกมากขึ้น
เช่น ระบบหลังบ้านหลายเจ้า มีการทำ Dashboard เพื่อให้ ข้อมูลเชิงลึกในการขาย โดยที่เจ้าของไม่ต้องนำข้อมูลใน Excel มาคำนวนเองเลย


3. บริษัทเรายัง”เล็กเกินไป”ที่จะคิดถึงเรื่องระบบหลังบ้าน
ไม่ว่าขนาดของธุรกิจ จะเล็ก หรือ ใหญ่ เพียงใดก็ตามล้วนเผชิญกับความกดดันจากตลาดมีมากขึ้น และความคาดหวังของลูกค้าต่อ
สินค้าสูงขึ้นตามมาเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นธุรกิจ รวมถึง SME จำเป็นอย่างมากในการที่จะตัองไล่ตามแรงกระตุ้นเหล่านั้น
ด้วยการเสาะหาช่องทางที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็น ลดต้นทุน หรือ เพิ่มผลกำไรจากการขายสินค้า
เพราะหากเรายังเลือกที่จะยังอยู่ที่เดิม จะไม่สามารถไล่ตาม หรือ ถูกธุรกิจอื่นไล่ตามเข้าจนได้ ปัจจัยหลัก คือ การทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างมีระบบ
และ มีระบบหลังบ้านที่เหมาะกับขนาดของธุรกิจนั้นเอง


การมีระบบทีดีตั้งแต่แรกนั้น จะทำให้ SME ไม่ต้องมีปัญหา ความยุ่งยาก เข้ามาในช่วงที่ ธุรกิจกำลังอยู่ในช่วงที่จะเติบโต
เพราะระบบหลังบ้านเหล่านั้น มีฟังก์ชั่นที่คอยช่วยซัพพอร์ตการขายมากมาย อาทิเช่น การปรับเปลี่ยนราคา การลิ้งข้อมูลไปยัง market place ต่างๆ และอื่นๆอี่กมากมาย


4. การลงทุนใช้เวลา”นานมากกว่าจะเห็นผล”
เมื่อพูดถึงการลงทุน ผลตอบแทนจากการลงทุน หรือ ROI มักจะมีผลเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจเสมอ
จริงอยู่ที่การลงทุนในระบบหลังบ้านนั้นใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล แต่หลังจากที่ SME เริ่มใช้งานระบบอย่างเต็มที่และพัฒนาความสามารถในการทำงานแล้ว
คุณจะเห็นผลกำไรของคุณเติบโต และระดับความพึงพอใจของลูกค้านั้นสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด ในปัจจุบัน ผู้ให้บริการระบบหลังบ้านหลายรายก็ยังให้บริการ
ในรูปแบบ subscription หรือ รายเดือน ทำให้ต้นทุนในไม่สูงอย่างที่หลายคนคิด






ดูทั้งหมด ...